เคล็ดลับแต่งคอนโดสวยด้วยงบเบาๆ (ตอนที่ 1)

Photo by วริศ กมลาศน์ ณ อยุธยา

ถึงคอนโดมิเนียมจะเป็นที่พักอาศัยที่ไม่ใหญ่ไม่โต แต่การตกแต่งคอนโดก็ถือเป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อย โดยเฉพาะถ้าอยากได้ห้องสวยๆ ด้วยงบประมาณเบาๆ ครั้งนี้เรามีเคล็ดลับที่ช่วยให้สามารถแต่งห้องได้ดั่งใจในราคาสบายกระเป๋าจาก คุณวาว – วริศ กมลาศน์ ณ อยุธยา Design Director แห่ง Be Workshop Co., Ltd. ผู้เชี่ยวชาญด้านงานตกแต่งภายในมาฝากกัน

Photo by Be Workshop

อยากแต่งคอนโดเองในราคาประหยัด ต้องเริ่มจากตรงไหน
ก่อนอื่นต้อง “กำหนดวัตถุประสงค์” ว่าเป็นคอนโดสำหรับอาศัยถาวรหรือแค่ชั่วคราว มีบ้านของตัวเองอยู่แล้วหรือเปล่า บ้านที่มีอยู่เป็นสไตล์ไหน อยากให้คอนโดนี้แตกต่างหรือคล้ายคลึงกับบ้านที่มีอยู่แล้ว ถ้ามาอยู่คอนโดเพราะใกล้ที่ทำงาน เดินทางสะดวก หรือเป็นบ้านหลังที่สอง ก็อาจต้องตกแต่งคอนโดให้น้อยๆ เรียบๆ หน่อย ถ้าต้องการให้เป็นที่พบปะสังสรรค์ของเพื่อนๆ อาจมุ่งเน้นตกแต่งเพื่อตอบโจทย์ด้านภาพลักษณ์ มากกว่าเน้นฟังก์ชันการเก็บของเยอะๆ

บางคนอาจซื้อคอนโดเพื่อลงทุนปล่อยให้เช่า กรณีนี้การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายที่จะมาเป็นผู้เช่าก็สำคัญ ถ้าคอนโดอยู่ใกล้ สถานศึกษา ผู้เช่าเป็นนักศึกษา กลุ่มวัยรุ่น ก็จะมีความต้องการหรือมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากวัยทำงาน อาจต้องเน้นความแข็งแรงทนทาน ดูแลรักษาง่ายหรือเปลี่ยนง่ายเมื่อมีการเสียหาย ถ้ามีคอนโดไว้เพื่อปล่อยเช่าให้ชาวต่างชาติ ความต้องการก็จะแตกต่างออกไป

ควรตั้งงบประมาณตกแต่งคอนโดอย่างไรให้เหมาะสม
เมื่อเข้าใจวัตถุประสงค์ของตัวเองที่ชัดเจนแล้ว ก็จะมาถึงขั้นตอนการตั้งงบประมาณ เริ่มจากจัดกลุ่มของตกแต่งเป็นแบ่งหมวดหมู่คร่าวๆ เพื่อกำหนดสัดส่วนค่าใช้จ่าย เช่น เฟอร์นิเจอร์บิลต์อิน (ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ) เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว (โซฟา เตียง เก้าอี้) วัสดุตกแต่งพื้นผิวผนัง (ผนังกรุไม้ ผนังกรุหิน วอลล์เปเปอร์ หรือทาสี) ม่าน ของตกแต่งอื่น กำหนดสัดส่วนความสำคัญว่าจะให้ความสำคัญแก่ส่วนไหน คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าคิดไม่ออกก็ตั้งไว้เท่าๆ กันก่อน

สมัยนี้สามารถศึกษาต้นทุนและราคาวัสดุตกแต่งต่างๆ ได้ไม่ยากจากในอินเทอร์เน็ต แล้วตรวจสอบว่าจะเลือกวัสดุหรือเฟอร์นิเจอร์ระดับไหน เกรดไหน หรือแบรนด์ไหน ซึ่งในส่วนนี้ต้องอาศัยรสนิยม ประสบการณ์ และความพอดี ความสมดุลหรือความพอดีนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ผมลองยกตัวอย่าง ถ้ามีของแต่งห้องอยู่ 10 อย่าง ทุกอย่างสวยและแพงหมด สุดท้ายพอมาจัดวางรวมกัน มันก็อาจจะไม่สวยและไม่ได้ดูดีอย่างที่คิด การออกแบบที่ดีต้องมีพระเอก พระรอง อาจแนะนำให้ต้องปรึกษาอินทีเรียดีไซเนอร์ เพราะจะเป็นผู้มีประสบการณ์ ชำนาญ รู้จักสไตล์และระดับของสินค้า ช่วยคัดกรองลำดับความสำคัญและสร้างความสมดุลได้ดีกว่า

Photo by Be Workshop

เลือกตกแต่งคอนโดในสไตล์ไหนที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูดีด้วย
ขึ้นอยู่กับตัวสินค้าที่เราเลือกมากกว่า สำหรับเจ้าของบ้านในยุคนี้ต้องถือว่าโชคดีนะครับ เพราะตลาดการตกแต่งค่อนข้างแข่งขันสูง มีตัวเลือกให้ผู้บริโภคมาก ของตกแต่งในสไตล์ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ ราคาจะไม่แพงมาก เพราะมีผู้ผลิตแข่งขันกันเยอะ แต่การตกแต่งห้องตามแฟชั่นก็อาจทำให้รู้สึกเบื่อเมื่อหมดกระแสไป ตกแต่งให้เรียบๆ น้อยๆ แต่อยู่ได้นานๆ จะดีกว่า อย่ายึดติดกับสไตล์มากจนเกินไป เราสามารถผสมผสานเฟอร์นิเจอร์หลายๆ แบบได้ แต่ที่สำคัญคือต้องเป็นตัวเอง หรือเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายตามที่กล่าวมาข้างต้นครับ

แค่ตอนแรกก็ได้แนวคิดดีๆ กันไปไม่น้อยแล้ว แต่เคล็ดลับจากคุณวาวยังเหลืออีกหนึ่งตอน ในตอนหน้าคุณวาวจะมาพูดถึงปัญหาต่างๆ ที่เราอาจพบเจอในการแต่งคอนโด ติดตามกันได้ที่ ChivitD เร็วๆ นี้

ตู้เสื้อผ้า…ทำไมต้องปิด

หนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ที่กินพื้นที่ และไม่ค่อยตอบสนองไลฟ์สไตล์ของชีวิตยุคใหม่ก็คือตู้เสื้อผ้า เทรนด์แฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เรามีเสื้อผ้าและเครื่องประดับมากมายจนยากจะเก็บไว้ในตู้ไม่กี่ใบ หรือถ้าหาทางเก็บเข้าไปได้จริงๆ มันก็แน่นและแออัดเกินไปจนหาของไม่ค่อยเจอ จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายบ้านอยากจะโยนตู้เสื้อผ้าแบบเดิมๆ ทิ้งไป แล้วใช้ตู้เสื้อผ้าแบบอื่นๆ ที่เปิดกว้างและสร้างสรรค์กว่า

สำหรับผู้ที่ไม่มีข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ Walk-in Closet คือตู้เสื้อผ้าในฝัน เพราะมันใหญ่พอที่จะจัดวางเครื่องแต่งกายได้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ และไม่ต้องกังวลว่าจะเก็บเสื้อผ้าที่เพิ่งช็อปปิ้งมาไว้ที่ไหนดี ขนาดของ Walk-in Closet ขึ้นอยู่กับจำนวนของที่เราอยากจะเก็บเอาไว้ ซึ่งอาจใช้พื้นที่เพียงบางส่วนของห้อง หรือใช้ทั้งห้องเลยก็ได้ นอกจากของจำเป็นอย่าง ราวแขวนเสื้อ ตู้ ลิ้นชัก กระจกเงา และไฟสว่างๆ แล้ว อย่าลืมวางม้านั่งเก๋ๆ สักตัว เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายระหว่างเลือกเสื้อผ้า และสร้างบรรยากาศให้เหมือนห้องลองเสื้อของร้านตัดเสื้อหรูๆ

ส่วนบ้านที่ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับ Walk-in Closet ก็อาจลดขนาดลงมาเป็น Reach-in Closet ตู้เสื้อผ้าที่ฝังเข้าไปในผนัง ซึ่งสามารถติดตั้งราวแขวนเสื้อและชั้นต่างๆ ได้มากกว่าตู้เสื้อผ้าทั่วไป และช่วยให้ผนังดูเรียบโล่ง ไม่มีอะไรมาเกะกะสายตา

แต่ถ้าReach-in Closet ยังใช้พื้นที่มากเกินไป ทางเลือกที่น่าสนใจคือ Open Closet ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ เพราะทั้งดูดีมีสไตล์ และประหยัดเวลาในการหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่

ผู้ที่มีห้องนอนกว้างๆ อาจยกผนังฝั่งหนึ่งเพื่อทำเป็น Open Closet โดยติดตั้งชั้นวางของเหนือศีรษะ ราวแขวนเสื้อ และตู้ลิ้นชักแบบบิลต์-อินให้เพียงพอกับจำนวนเสื้อผ้าที่มีอยู่ ถึงจะดูเหมือนใช้พื้นที่พอๆ กับการตั้งตู้เสื้อผ้า แต่ Open Closet จะช่วยให้ห้องดูปลอดโปร่งมากกว่า สำหรับเรื่องของดีไซน์นั้น เจ้าของบ้านบางคนอาจชอบแบบเรียบๆ ที่กลมกลืนกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆ ในบ้าน แต่แฟชั่นนิสต้าหลายคนก็จัดเต็มกับสิ่งนี้ ด้วยการใช้วัสดุตกแต่งที่มีสไตล์ และการจัดแสงอย่างมืออาชีพ จนทำให้ Open Closet ดูโดดเด่นราวกับยกดิสเพลย์จากร้านของแบรนด์แฟชั่นดังๆ มาตั้งไว้ที่บ้านเลยทีเดียว

หากไม่อยากใช้เฟอร์นิเจอร์บิลต์-อิน ก็สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่มีอยู่ในท้องตลาด เช่น ราวแขวนเสื้อแบบตั้งพื้น ชั้นวางของที่ถอดประกอบและเลือกจำนวนชั้นเองได้ ตู้ลิ้นชักที่ซ้อนทับกันได้ และตู้เก็บรองเท้า ให้กลายเป็น Open Closet ที่มุมใดมุมหนึ่งของห้องได้เช่นกัน

สิ่งที่ต้องระวังสำหรับตู้เสื้อผ้าที่ไม่มีประตูเหล่านี้ก็คือแสงแดดและฝุ่น ควรเลือกตำแหน่งตู้เสื้อผ้าที่ไม่ได้รับแสงแดดตรงๆ ตลอดทั้งวัน และคอยทำความสะอาดพื้นและชั้นต่างๆ อยู่เสมอ

เพียงเท่านี้ เราก็จะมีตู้เสื้อผ้าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของเรา

สวนในห้องน้ำ ความงามจากธรรมชาติ

สำหรับคนรักธรรมชาติ พื้นที่สีเขียวในบ้านเป็นสิ่งที่มีมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ แต่ถ้าสวนนอกบ้านเริ่มแออัดไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดแล้ว ทำไมไม่ลองขยายพื้นที่สีเขียวเข้ามาในบ้านดูบ้าง โดยเฉพาะในห้องน้ำซึ่งมีสภาพแวดล้อมชุ่มชื้นเหมาะแก่การปลูกต้นไม้

สิ่งที่ควรคำนึงถึงก่อนลงมือออกแบบสวนในห้องน้ำก็คือปริมาณของแสงธรรมชาติ และขนาดพื้นที่ของห้องน้ำ บ้านที่มีห้องน้ำกว้าง และมีช่องเปิดรับแสงมากเพียงพอ จะมีทางเลือกในการสร้างสรรค์พื้นที่สีเขียวมากกว่า ผู้พักอาศัยสามารถจัดวางกระถางไม้ประดับที่มีขนาดต้นใหญ่สักหน่อย เช่น เฟิร์นข้าหลวง, ไผ่ฟิลิปปินส์, จั๋ง, คล้า, เขียวหมื่นปี, สาวน้อยประแป้ง ฯลฯ เพื่อเนรมิตสวนขนาดย่อม แต่ควรหลีกเลี่ยงการนำไม้ดอกเข้าไปในห้องน้ำ เพราะอาจดึงดูดฝูงผึ้งให้บินเข้าไปในห้องน้ำได้

พื้นที่จัดวางต้นไม้ควรแยกออกจากพื้นที่ใช้งานของห้องน้ำ หรือจะกั้นผนังกระจกให้เป็นสัดส่วนไปเลยก็ได้ และต้องทำระบบระบายน้ำแยกจากกันด้วย เพื่อป้องกันปัญหาท่ออุดตัน สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมเด็ดขาด คือตรวจสอบต้นไม้อย่างละเอียดก่อนนำเข้าห้องน้ำ เพื่อดูว่ามีแมลงและวัชพืชมีพิษติดมากับต้นไม้ด้วยหรือไม่

สำหรับห้องน้ำขนาดเล็กและมีช่องเปิดรับแสงน้อย ควรตกแต่งด้วยไม้ประดับที่สามารถเติบโตในกระถางหรือขวดแก้ว และไม่ต้องการแสงแดดมากนัก เช่น พลูด่าง, ไผ่กวนอิม, เฟิร์นบอสตัน, เฟิร์นเงิน, ลิ้นมังกรแคระ, ลิ้นมังกรครีบปลาวาฬ, แคกตัส ฯลฯ โดยจัดวางกระถางไว้ตามมุมต่างๆ หากต้องการให้พื้นที่สีเขียวมีความโดดเด่น ก็สามารถนำเทคนิคการจัดสวนแนวตั้งมาประยุกต์ใช้ได้ โดยติดตั้งกระเป๋าสวนแนวตั้งบนผนัง แล้วใส่กระถางต้นไม้ให้เต็มกระเป๋าทุกช่อง เพื่อสร้างผนังห้องน้ำที่เขียวชะอุ่มเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าชอบสวนที่ดูโปร่งโล่ง ให้ติดตั้งชั้นวางของที่มีขนาดพอเหมาะ แล้วจัดวางกระถางต้นไม้ให้สวยงาม

ใช่ว่าห้องน้ำทุกห้องจะมีความชื้นและแสงสว่างที่เหมาะสำหรับการจัดสวน ในช่วงแรกจึงควรนำต้นไม้ไปทดลองวางในห้องน้ำเพียงไม่กี่ต้นก่อน รอดูจนมั่นใจว่าต้นไม้เติบโตได้ดี จึงนำต้นไม้เข้าไปเพิ่ม แต่ถ้าต้นไม้เหี่ยวเฉาก็อาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การตกแต่งด้วยต้นไม้เทียม หรือการติดวอลล์เปเปอร์ที่มีลวดลายของธรรมชาติ

การดูแลรักษาสวนในห้องน้ำไม่ต่างจากการดูแลสวนตามปกติ ผู้พักอาศัยต้องคอยรดน้ำต้นไม้เป็นประจำตามความต้องการของต้นไม้แต่ละสายพันธุ์ หมั่นตัดแต่งใบไม้ที่เหี่ยวเฉาเพื่อไม่ให้ร่วงลงไปอุดตันท่อระบายน้ำ เปลี่ยนน้ำในที่รองกระถางอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันยุงวางไข่ และเพื่อความปลอดภัยของผู้พักอาศัย ไม่ควรใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเด็ดขาด

เพียงเท่านี้ เราก็จะมีพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ในบ้าน และทำให้ทุกนาทีในห้องน้ำมีความรื่นรมย์มากยิ่งขึ้น

วอลล์เปเปอร์และกระเบื้องแบบลอกออกได้: แค่แปะ บ้านก็เปลี่ยน

เมื่อการแต่งบ้านกลายเป็นงานอดิเรกของใครหลายคน ของแต่งบ้านยุคใหม่จึงออกแบบมาให้ติดตั้งง่าย ถอดได้ ย้ายสะดวก เพื่อเอาใจเจ้าของบ้านขี้เบื่อผู้มักจะลุกขึ้นมาปรับบ้านใหม่ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง รวมถึงวัสดุตกแต่งผนังด้วย

วอลล์เปเปอร์แบบเดิมๆ นั้นต้องทากาวเพื่อให้ยึดติดกับผนัง เวลาติดก็ยุ่งยาก ถ้าอยากลอกออกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทำให้หลายบ้านเลือกที่จะทาสีผนัง ทั้งที่อยากติดวอลล์เปเปอร์ลายสวยๆ มากกว่า

ถ้าอยากเปลี่ยนสไตล์ของผนังห้องแบบสะดวกสบาย ทางเลือกที่น่าสนใจคือวอลล์เปเปอร์แบบลอกออกได้ (Peel and stick wallpaper หรือ Temporary wallpaper) วอลล์เปเปอร์แบบนี้มีกาวในตัว ทำให้เจ้าของบ้านสามารถติดได้ด้วยตัวเอง หลังจากวัดขนาดผนัง ตัดวอลล์เปเปอร์ให้ได้ขนาดที่ถูกต้องแล้ว แค่ลอกกระดาษด้านหลังออกเหมือนลอกสติ๊กเกอร์ แล้วติดวอลล์เปเปอร์บนผนังได้ทันที ส่วนเวลาที่อยากเปลี่ยนลายใหม่ ก็ลอกวอลล์เปเปอร์ออกมาจากผนังได้เลย โดยไม่ต้องกังวลว่าสีจะหลุดร่อนตามมา

อีกหนึ่งไอเท็มสำหรับคนที่ชอบเปลี่ยนวัสดุแต่งผนังบ่อยๆ คือกระเบื้องแบบลอกออกได้ (Peel and stick tile) จริงๆ แล้วมันไม่ใช่กระเบื้อง แต่เป็นแผ่นไวนิลหรือพลาสติกลวดลายเหมือนกระเบื้องและมีกาวในตัว วิธีติดก็เหมือนกับวอลล์เปเปอร์แบบลอกออกได้ เพียงลอกกระดาษที่รองด้านหลังออกแล้วแปะเข้ากับผนัง หากเบื่อลายนั้นแล้ว ก็สามารถลอกออกได้ง่ายๆ เช่นกัน

Photo by Roca Tile USA
ในต่างประเทศนิยมติดกระเบื้องแบบลอกออกได้บริเวณผนังด้านหลังอ่างล้างหน้าและอ่างล้างจาน ซึ่งเป็นจุดที่น้ำกระเซ็นไปเกาะเป็นคราบอยู่เสมอ เพราะเมื่อกระเบื้องเริ่มสกปรกจนไม่น่ามอง ก็สามารถลอกออกแล้วแปะแผ่นใหม่แทนได้ง่ายดาย แต่ใช่ว่ากระเบื้องแบบลอกออกได้จะเหมาะสำหรับพื้นที่ใกล้น้ำเพียงอย่างเดียว เนื่องจากกระเบื้องแบบนี้มีความมันวาวมากกว่ากระเบื้องจริง ทำให้เหมาะที่จะใช้ตกแต่งผนังห้องที่ต้องการความมันวาวมากเป็นพิเศษ

วอลล์เปเปอร์และกระเบื้องแบบลอกออกได้ยังเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้ตกแต่งอพาร์ทเม้นท์หรือหอพัก ซึ่งผนังห้องมักเต็มไปด้วยร่องรอยการใช้งานจากผู้เช่าคนก่อนๆ ส่วนผู้มีไอเดียแต่งบ้านก็สามารถนำวัสดุทั้ง 2 อย่างนี้มาตกแต่งเฟอร์นิเจอร์อย่าง ตู้ โต๊ะ หรือ เก้าอี้ เพื่อให้มีลวดลายเข้ากับผนังห้องได้อีกด้วยถือเป็นวัสดุตกแต่งผนังที่ช่วยเปลี่ยนลุคของบ้านได้อย่างง่ายๆ และเปลี่ยนได้บ่อยครั้งตามต้องการ

Ergonomic Kitchen: แต่งครัวอย่างไรไม่ให้ปวดหลัง

เออร์โกโนมิก (Ergonomic) คือหลักการออกแบบสถานที่ทำงานให้มีประสิทธิภาพ และมอบความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งานมากที่สุด หากเราต้องทำงานในสถานที่ที่ไม่ได้ออกแบบตามหลักเออร์โกโนมิก นอกจากขั้นตอนการทำงานจะไม่ลื่นไหลแล้ว ยังทำให้เราปวดหลัง ไหล่ และคอได้ด้วย

หนึ่งในสถานที่ที่เราต้องใช้งานบ่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญในการออกแบบให้สอดรับกับร่างกายก็คือห้องครัว จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณพ่อบ้านแม่บ้านที่รักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ จะมีอาการปวดเมื่อยไม่ต่างจากผู้มีอาการออฟฟิศซินโดรมเลย

ห้องครัวตามหลักเออร์โกโนมิกนั้นคือห้องครัวที่ออกแบบให้เจ้าของบ้านใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเคลื่อนที่และเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด และไม่ต้องก้มตัว ยืดตัว หรือเอี้ยวตัวบ่อยๆ

รูปทรงของเคาน์เตอร์ครัวคือสิ่งที่กำหนดว่าผู้ใช้งานจะต้องเคลื่อนที่มากน้อยแค่ไหน เคาน์เตอร์ในอุดมคติคือเคาน์เตอร์รูปตัวยูขนาดเล็ก ที่ด้านหนึ่งเป็นพื้นที่เตรียมอาหาร ด้านหนึ่งเป็นเตา และอีกด้านเป็นอ่างล้างจาน ทำให้สามารถยืนปรุงอาหารได้เสร็จสรรพในจุดเดียวโดยไม่ต้องขยับตัวไปไหนเลย แต่ถ้าพื้นที่ในบ้านไม่เหมาะกับเคาน์เตอร์รูปตัวยู เคาน์เตอร์รูปตัวแอลคือทางเลือกที่ดีรองลงมา เพราะช่วยย่นระยะในการเคลื่อนที่ระหว่างจุดต่างๆ ได้มากกว่าเคาน์เตอร์แบบยาวตรง และควรตั้งตู้เย็นไว้ข้างๆ พื้นที่เตรียมอาหารด้วย เพื่อจะได้หยิบวัตถุดิบออกมาจากตู้เย็นแล้วจะได้วางบนเคาน์เตอร์ได้เลย ไม่ต้องถือเดินไปมาให้เมื่อย

ความสูงของเคาน์เตอร์ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ เคาน์เตอร์ที่สูงเกินไปทำให้เราเผลอยกไหล่ไว้เวลาทำอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดไหล่ ขณะที่เคาน์เตอร์ที่เตี้ยเกินไปจะทำให้เราต้องโน้มตัวไปข้างหน้า ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหลังและคอ ถ้าเป็นไปได้ควรสั่งทำเคาน์เตอร์ที่เหมาะกับความสูงของเจ้าของบ้านแทนที่จะเลือกใช้เคาน์เตอร์สำเร็จรูป

 

สำหรับตู้ต่างๆ ในห้องครัวนั้น ตู้แขวนผนังควรติดตั้งในจุดที่เหมาะกับความสูงของเจ้าของบ้าน และควรเป็นตู้แบบบานประตูเปิดขึ้นแทนที่จะเป็นแบบเปิดออกด้านข้าง จะได้ไม่ต้องคอยเบี่ยงตัวหลบบานประตูทุกครั้งที่เปิดตู้ ขณะที่ตู้เก็บของใต้เคาน์เตอร์ควรเลือกใช้แบบลิ้นชัก เพราะสามารถเปิดแล้วหยิบของออกมาได้เลยโดยไม่ต้องย่อตัวลงไป ส่วนตู้เย็นที่ถูกต้องตามหลักเออร์โกโนมิกนั้นคือตู้เย็นที่มีช่องแช่แข็งแบบลิ้นชักอยู่ด้านล่าง ซึ่งช่วยให้เราหยิบอาหารและเครื่องดื่มจากช่องธรรมดา ซึ่งเป็นช่องที่เราใช้งานบ่อยกว่าได้สะดวกกว่าตู้เย็นที่ช่องแช่แข็งอยู่ด้านบน

ทุกวันนี้มีชุดครัวและเครื่องครัวที่ออกแบบอย่างสวยงามให้เลือกมากมาย แต่อย่าลืมว่าห้องครัวนั้นไม่ได้มีไว้โชว์เพียงอย่างเดียว ก่อนซื้อของตกแต่งครัวทุกครั้งจึงควรคำนึงถึงหลักเออร์โกโนมิกเอาไว้สักนิด เพื่อจะได้มีห้องครัวที่ดูดี และใช้งานได้ดีด้วย

ปรับบ้านใหม่ เอาใจผู้สูงอายุ

Photo by ROM architecture studio

พอคนเราอายุมากขึ้น หลายสิ่งที่เคยทำได้ง่ายๆ อาจกลายเป็นเรื่องยุ่งยากและอันตราย หากสังเกตเห็นว่าคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้สูงอายุในบ้านเริ่มใช้ชีวิตประจำวันไม่คล่องตัวเหมือนเมื่อก่อน ถือเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่า ถึงเวลาต้องรีโนเวตบ้านใหม่ตามแนวคิด Universal design เพื่อมอบความสะดวกสบายและปลอดภัยแก่พวกท่าน

Universal design คือการออกแบบสถานที่ ผลิตภัณฑ์ และสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับทุกคน รวมทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการ โดยเน้นไปที่การออกแบบที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับทุกความต้องการ ใช้งานได้อย่างไม่เหนื่อยแรง และลดโอกาสเกิดอันตรายให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งเราสามารถนำแนวทางของ Universal design มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบบ้านสำหรับผู้สูงอายุได้ด้วย


สิ่งแรกที่ควรให้ความสำคัญคือพื้นบ้าน พื้นบริเวณประตูบ้านทั้งด้านนอกและด้านในต้องเรียบเสมอกัน ไม่มีขั้นบันได ไม่มีธรณีประตู เพื่อให้สะดวกในการผ่านเข้าออก หากตัวบ้านสูงจากพื้นภายนอกมาก ควรทำทางขึ้นเป็นทางลาดแทนบันได ส่วนพื้นในบ้านควรใช้วัสดุปูพื้นที่ไม่ลื่นและไม่มีลวดลายที่ชวนลายตา หากเป็นพื้นพรมควรปูแผ่นรองพรมกันลื่นไว้ด้านล่างด้วย

บันไดก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้บ่อยครั้ง แต่สามารถป้องกันได้ ด้วยการติดไฟสว่างๆ ให้มองเห็นบันไดทุกขั้นอย่างชัดเจน และเพิ่มราวบันไดให้ครบทั้งสองด้าน เพื่อที่ไม่ว่าผู้สูงอายุจะเซไปทางไหนก็สามารถจับราวบันไดได้เสมอ


สำหรับห้องน้ำ ถ้าบ้านไหนยังใช้โถส้วมแบบนั่งยองอยู่ ควรเปลี่ยนเป็นโถส้วมแบบนั่งราบ และติดราวพยุงตัวที่โถส้วมหรือผนังด้านข้างโถส้วมด้วย ส่วนบริเวณอาบน้ำนั้น แนะนำให้ติดตั้งฝักบัวที่ปรับระดับความสูงได้ เพื่อให้ทุกคนในบ้านใช้งานได้อย่างสะดวก พร้อมทั้งทำที่นั่งให้ผู้สูงอายุสามารถนั่งอาบน้ำได้ ซึ่งจะปลอดภัยกว่าการอาบน้ำในท่ายืน

หลังจากจัดการกับบริเวณที่อาจเกิดอันตรายแล้ว ก็ควรปรับปรุงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในบ้าน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้สูงอายุด้วย ตัวอย่างเช่น

  • เปลี่ยนลูกบิดประตูเป็นแบบมือจับ และเปลี่ยนลูกบิดก๊อกน้ำเป็นแบบก้านโยก เพื่อให้ออกแรงในการเปิดปิดน้อยลง
  • ถ้าพื้นที่ในบ้านอำนวย ควรเปลี่ยนประตูและหน้าต่างเป็นแบบบานเลื่อน ซึ่งเปิดปิดได้สะดวกกว่า
  • ทำตู้เสื้อผ้าแบบวอล์ก-อิน โดยติดตั้งราวแขวนให้ต่ำลงกว่าปกติ
  • ติดตั้งสวิตช์ไฟห้องนอนทั้งที่ข้างประตูและข้างหัวเตียง เพื่อที่จะได้เปิดไฟได้ทันทีเมื่อเข้าห้อง และไม่ต้องลุกจากเตียงมาปิดไฟเมื่อถึงเวลานอน

การปรับบ้านตามแนวคิด Universal design ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น คนหนุ่มสาวก็ได้รับความสะดวกสบายและปลอดภัยเช่นเดียวกัน แถมยังถือเป็นการเตรียมความพร้อม ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าด้วย

บ้านแสนสุขของสัตว์เลี้ยงแสนรัก


ในอดีต คนไทยไม่นิยมเลี้ยงสุนัขหรือแมวในบ้าน ทำให้การออกแบบที่พักอาศัยไม่ได้คำนึงถึงการใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนสี่ขามากนัก แต่ปัจจุบันสุนัขและแมวได้เข้ามาเป็นสมาชิกของของหลายๆ ครอบครัว จึงมีหลายคนที่อยากจะปรับบ้านให้สะดวกและปลอดภัยสำหรับการใช้ชีวิตร่วมกัน

สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง ก็คือความต้องการพื้นฐานของสัตว์เลี้ยงแต่ละชนิด เช่น สุนัขพันธุ์ใหญ่จำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับเดินไปมาในบ้านมากเป็นพิเศษ จึงควรติดตั้งเฟอร์นิเจอร์แบบบิลด์อินแทนที่จะเป็นแบบลอยตัว ประตูบ้านก็ควรต้องกว้างสักหน่อย เพื่อให้สุนัขผ่านเข้าออกได้สะดวกยามพาไปเที่ยวนอกบ้าน ขณะที่แมวนั้นเป็นสัตว์ที่ชอบชมวิว จึงควรมีโต๊ะหรือคอนโดแมววางไว้ใกล้กับหน้าต่าง เพื่อให้แมวสามารถขึ้นไปนอนชมธรรมชาตินอกบ้านได้อย่างสบายใจ

สำหรับผู้ที่ต้องการให้บ้านดูสะอาดเรียบร้อย ไร้รอยขีดข่วน ควรให้ความสำคัญกับวัสดุในการตกแต่งบ้านมากเป็นพิเศษ วัสดุปูพื้นที่เหมาะคือวัสดุที่มีความทนทาน ซึ่งจะทำให้พื้นบ้านไม่มีรอยจากเล็บของสัตว์เลี้ยง เช่น แกรนิต, กระเบื้องเซรามิก หรือไม้เนื้อแข็ง หากต้องการปูพื้นด้วยลามิเนต ควรเลือกลามิเนตที่ได้รับการรับรองว่าไม่ปล่อยสารฟอร์มาลดีไฮด์ในระดับที่เป็นอันตรายต่อทั้งสัตว์เลี้ยงและผู้พักอาศัย

ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่สัตว์เลี้ยงนิยมฝนเล็บมากที่สุดคงหนีไม่พ้นโซฟาและเตียง ซึ่งไม่มีวัสดุใดที่สามารถป้องกันรอยเล็บได้ร้อยเปอร์เซนต์ หนังอาจเป็นทางเลือกที่ดี เพราะทำความสะอาดง่ายและไม่เก็บกลิ่น แต่มีข้อเสียคือถ้าเสียหายแล้วจะซ่อมแซมได้ยาก สำหรับผู้เลี้ยงแมวอาจลองหาเฟอร์นิเจอร์ที่หุ้มด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์มาทดลองใช้ เพราะเป็นวัสดุที่นุ่มนิ่มเกินไปจนทำให้แมวหลายตัวไม่นิยมฝนเล็บกับผ้าไมโครไฟเบอร์ และถ้าไม่อยากรำคาญตากับขนสัตว์ที่ติดอยู่ตามเตียงหรือโซฟา ควรเลือกผ้าคลุมเตียงหรือโซฟาที่มีลายคู่สีใกล้เคียงกับสีขนของสัตว์เลี้ยง เพื่อช่วยพรางขนให้มองเห็นยากหน่อย

สำหรับเรื่องความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด

  • ติดตั้งฝาครอบปลั๊กไฟที่อยู่ใกล้พื้น และเก็บสายไฟไม่ให้ห้อยลงมาจากโต๊ะเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกสุนัขที่มันเขี้ยว หรือสัตว์ที่ชอบแทะอย่างกระต่ายไปงับสายไฟเล่น
  • สัตว์เลี้ยงจำนวนมากเรียนรู้ที่จะเปิดประตูห้องหรือประตูตู้ได้ด้วยตัวเอง จึงควรเก็บของมีคมและสารเคมีอันตรายในตู้หรือห้องเก็บของที่ล็อกประตูได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้สายม่านยาวๆ ที่อาจพันคอสัตว์เลี้ยง
  • บางครั้งแมวอาจกระโดดขึ้นไปตะปบแมลงหรือจิ้งจกที่เกาะบนผนัง จึงไม่ควรแขวนกระจกเงาหรือกรอบรูปที่มีกระจกไว้บนผนัง เพราะแมวอาจกระโดดไปชนจนตกลงมาแตกได้
  • ก่อนจะปลูกพืชชนิดต่างๆ ทั้งในและนอกบ้าน ควรหาข้อมูลดูสักนิดว่าพืชชนิดนั้นเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงหรือไม่

เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงจะปลอดภัยในบ้าน เจ้าของอาจลองใช้วิธีสำรวจบ้านด้วยมุมมองของสัตว์เลี้ยง โดยย่อตัวให้ศีรษะอยู่ในระดับสายตาของสัตว์เลี้ยง และมองไปทั่วๆ บ้านว่ามีจุดใดบ้างที่อาจเป็นอันตรายต่อหมาแมว หรือมีจุดใดบ้างที่หมาแมวอาจก่อความเสียหายให้บ้านได้ จากนั้นก็ปรับปรุงพื้นที่บริเวณนั้นให้ปลอดภัยมากขึ้น

เพียงเท่านี้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงก็จะมีบ้านอบอุ่นที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขนานแสนนาน